Translate

8 กันยายน 2556

เคล็ดลับสุขภาพ

กินอย่างไรให้สุขภาพดี




 สุขภาพ ร่างกายหากมีความแข็งแรงย่อมไม่นำโรคภัยมา การมีสุขภาพที่ดีเป็นที่ปราถนาของทุกคน แต่จะทำอย่างไรให้มีสุขภาพดี วันนี้เรามีเคล็ดลับกินอย่างไรให้สุขภาพดีมาบอก

 เคยสงสัยตัวเองไหมว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารของตัวเองควรจะมีการแก้ไขไหม เป็นพฤติกรรมที่ควรจะทำหรือเปล่า ปัจจุบันคนไทย เรามีนิสัยการบริโภคที่ไม่ถูกเท่าที่ควรนัก ทั้งที่มีกระแสรักสุขภาพ เพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่กลับมีวิธีการกินที่ผิด ๆ เข้ามาแทนที่เสียนี่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองมาสู่วิธีการกินที่ถูกต้องก็ในเมื่อชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว เราก็ควรจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเรา




พฤติกรรมและวินัยการบริโภคผิด ๆ
ถ้าให้พูดถึงวิธีการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง สามารถกล่าวถึงได้หลายอย่าง บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวและไม่ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะบางอย่างเป็นสิ่งที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน

          การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กกลับเป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างคาดไม่ถึง เพราะจะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น เหมือนเราใช้งานร่างกายหนักขึ้น วันหรือสองวันอาจจะไม่มีผลอะไรแต่อย่าลืมว่าเราต้องกินข้าวและเคี้ยวอาหารตลอดชีวิตของเรา

          ติดนิสัยกินอาหารจุบจิบ เป็นอุปนิสัยการกินที่จะทำให้เกิดโรคอ้วน เพราะการหยิบของใกล้มือมากินตลอดเวลา โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวและของทอด โดยไม่คำนึงถึงไขมันและแคลอรีส่วนเกิน

          ไม่กินอาหารเช้า จากชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องเร่งรีบวิ่งตามเวลา บางครั้งการเตรียมอาหารเช้าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก็จะทำให้หงุดหงิดง่ายความจำไม่ดี ความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่ว่องไว

          เลือกรับประทาน อุปนิสัยการรับประทานของผู้คนสมัยนี้จะแสวงหาแต่สิ่งที่ชอบและพึงพอใจ กินอาหารปรุงแต่งรสชาติ ไม่กินผักผลไม้ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางอย่างที่จำเป็นกับร่างกาย ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่ากินตามใจปาก

          กินอาหารไม่เป็นเวลา หากเป็นเมื่อก่อนการกินอาหารไม่เป็นเวลาอาจจะมีของแถมมาเป็นโรคกระเพาะอาหารเพียงเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีโรคกรดไหลย้อนเข้ามาให้ระแวงเพิ่มอีก กลายเป็น 2 โรคยอดฮิตในหมู่หนุ่มสาวสมัยนี้ไปเสียแล้ว

          สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุปนิสัยการรับประทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถให้ผลกระทบในด้านสุขภาพ และร่างกายของเราได้ในระยะยาว ถ้าเราไม่คิดจะแก้ไข 



 เปลี่ยนการกินอย่างไรให้สุขภาพดี

          บางครั้งการพยายามกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยใจไม่ใช่น้อย เพราะข้อห้ามทั้งหลายที่กินนั่นไม่ได้กินนี่ไม่ดี ทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเรามันดูยากขึ้น จนเราเลิกล้มความตั้งใจไปก่อนที่จะได้ทำจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินง่าย ๆ ก็ช่วยเราให้สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องซื้อหา
          เริ่มวันใหม่ด้วยอาหารเช้า หากคุณไม่มีเวลาพอที่จะกินอาหารเช้ามื้อใหญ่ ลองมองหาอาหารที่สามารถหยิบมากินได้ง่าย ๆ อย่างโยเกิร์ตกับกล้วยน้ำว้าสุก ซึ่งกล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งโปรตีน วิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 บี 6 นอกจากจะได้ประโยชน์แล้วยังไม่อ้วนด้วย อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร การดูดซึม และระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กินอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลง
          เปลี่ยนของจุบจิบจำพวกขนมขบเคี้ยวเป็นของที่มีประโยชน์ การห้ามกินของจุบจิบในระหว่างมื้อกลางวัน หรือการกินของว่าง ก่อนนอน หรือช่วงระหว่างดูละครเป็นไปได้ยาก เพราะนับได้ว่าเป็นอุปนิสัยที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัว เราก็แทนที่ของเหล่านั้นด้วยผลไม้ที่มีกากใยสูง และมีวิตามินแทนดีกว่า เพราะผลการวิจัยเขาบอกไว้ว่าการกินหลายมื้อไม่ได้ทำให้อ้วน แต่เราจะอ้วนจากการที่ใน 1 วัน เรากินอาหารที่ไม่จำกัดแคลอรี กินเกินกว่าความสามารถในการเผาผลาญของร่างกาย


 หันมากินมังสวิรัติบ้าง ตอนนี้กระแสการกินอาหารมังสวิรัติในวันเกิดของตัวเองกำลังเป็นที่นิยม โดยมีจุดเริ่มต้นจากความคิดในการทำบุญ ใน 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือน เราอาจจะเลือก 1 วันที่เราจะกินอาหารมังสวิรัติขึ้นมาและตั้งใจทำให้ได้ การกินมังสวิรัติก็เหมือนกับการดีท็อกซ์ร่างกาย แถมยังได้ความสุขทางใจ สุขภาพจิตก็ดีขึ้น

          เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ทุกวันนี้เราคงไม่ได้สังเกตตัวเองว่าในการกินอาหาร 1 มื้อ เราใช้เวลารวดเร็วมาก ๆ แทนที่จะได้ดื่มต่ำกับรสชาติอาหาร กลับรีบเคี้ยวกลืน และกินให้ไว้ไว้ก่อน ซึ่งถ้าเราลองเปลี่ยนมาเคี้ยวอาหารให้ช้าลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้นจะช่วยทำให้อาหารดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย กระเพาะไม่ต้องทำงานหนัก และยังช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายอีกด้วย

          พยายามกินอาหารให้ได้ทุกหมวดหมู่ เราอาจจะไม่ชอบกินอาหารบางชนิด อย่างบางคนที่ไม่ชอบรสชาติของอาหารบางอย่าง เราไม่ต้องถึงขนาดอดทนกล้ำกลืนกินเข้าไป แต่ให้ไปหาอาหารชนิดอื่นที่มีคุณค่าใกล้เคียงกันมากันมากินก็ได้ เพราะแทนที่จะฝืนทนกินให้จิตใจเครียดและปฏิเสธ แทนที่สุขภาพ จะดีขึ้นแต่กลับจะแย่ลงเสียมากกว่า





          ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง หากไม่มีเวลาดื่มระหว่างวัน แนะนำให้ลองดื่มน้ำเปล่าตอนตื่นนอนวันละ 1-2 แก้ว และก่อนนอนอีก 1-2 แก้ว ก็ได้เพราะตอนเช้าระดับความเข้มข้นของเลือดสูง ร่างกายเราจะรู้สึกว่าขาดน้ำ ก่อนนอนก็ควรจะดื่มสัก 1-2 แก้ว เพื่อให้น้ำไปชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร

          เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักการออกกำลังกาย ทั้งนี้แม้คุณจะกินอาหารที่ดีเพียงใด แต่การออกกำลังกายก็ยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยชะลอการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราไม่จำเป็นจะต้องออกไปวิ่ง หรือเข้ายิมทุกวัน แต่ใช้เวลาว่างระหว่างวันเพียงแค่ 10 นาที ก็สามารถออกกำลังกายง่าย ๆ ได้ หรือใช้บันไดในการขึ้นลงระหว่างชั้นให้มากขึ้นก็ได้

          การตั้งมั่นตั้งใจทำสิ่งใหม่ ๆ เป็นเรื่องดี อย่างการที่อยากจะปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ แต่หากทำโดยตั้งอยู่ในพื้นฐานของความเคร่งเครียดในการผลักคันตัวเองมากเกินไป จะทำรู้สึกไม่มีความสุข ความพยายามจะไม่เป็นผล ดังนั้นการจะเปลี่ยนตัวเองนั้น หากค่อย ๆ เปลี่ยนสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำจนเป็นกิจวัตรนิสัย เชื่อแน่ว่าสุขภาพดี จิตใจสงบ ความรู้สึกดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเราแน่นอน



แนะนำวิธีการหายใจให้ถูกวิธี

แนะนำวิธีการหายใจให้ถูกวิธี


การหายใจมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร?
เหตุผลที่สำคัญของการหายใจมี 2 ประการด้วยกันคือ ประการแรก การหายใจเป็นวิธีที่จะนำออกซิเจนเข้าไปในร่างกายของเราและเข้าอวัยวะไปสู่อวัยวะต่างๆ ช่วยให้ทำงานประสานกันได้ดี ประการที่สอง การหายใจเป็นวิธีที่จะนำออกซิเจนเข้าไปในร่างกายเพื่อขจัดของเสียหรือสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย และสั่งจิตใต้สำนึกให้ปรับอากาศหรือ"ออกซิเจน"ให้เป็นพลังปราณซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต


ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการหายใจ ทางโยคะถือว่าสำคัญมาก เพราะเมื่อการหายใจเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของคนจะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เช่น เมื่อผู้ใดมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้น จะบังคับให้อัตราการหายใจถี่ขึ้น และเมื่อไรที่เรามีความสุข สบายใจ อัตราการหายใจจะช้าลงและจิตใจเกิดความสงบสุขเยือกเย็นตามไปด้วย
การกำหนดลมหายใจ โดยการฝึกสูดลมหายใจแบบโยคะ ฝึกวิธีบังคับปอด วิธีขยายปอด รู้จักวิธีหายใจที่ถูกต้อง โดยเริ่มที่หายใจเข้าสั้นกว่าการหายใจออก เป็น 1:2 ถ้าหายใจเข้า 7 วินาที ควรจะหายใจออกนาน 14 วินาที เพื่อไล่อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ที่ค้างอยู่ในปอดให้ออกไปมากที่สุด
ถ้าเรามีการหายใจที่ถูกต้องเราสามารถมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์ที่ผ่อนคลาย คนเริ่มฝึกหายใจ ระยะแรก จะมี ปัญหาการกลั้นหายใจ ปัญหาเรื่องการหายใจ ช่วงระยะเวลาค่อนข้างสั้น แต่ถ้าผู้ฝึกควบคุมลมหายใจได้ถูกต้อง สามารถกลั้นลมหายใจได้หายใจได้ยาวขึ้น จะทำให้ปอดเกิดความแข็งแรงและยืดยุ่น ก็จะสามารถเก็บกักลมได้มาก ก็จะทำให้ปอดประสิทธิภาพที่สูงสุดก็ส่งผลดีถึงหัวใจถึงสมองตามมา
เตรียมความพร้อมการกำหนดลมหายใจ
1.นั่งหลังตรง กับพื้น ให้กระดูกสันหลังตั้งตรง นั่งบนพื้น หนือเก้าอี้ หรือยืนก็ได้
2.วางมือทั้ง 2 ข้างวางที่ท้อง หรือที่เรียกว่า กระบังลม เพื่อที่เราจะได้รับรู้เวลา หายใจเข้า กระดูกซี่โครงจะขยายออก(ท้องพอง) หายใจออก กระดูกซี่โครงจะหุบเข้า(ท้องแพบ) 
3.กำหนดลมหายใจนับเลขเริ่มจากสั้นไปยาว (นับเลขไว้ในใจ) หายใจเข้า 1 2 3 หายใจออก 1 2 3เข้า1 2 3 4 ออก 1 2 3 4 เข้า1 2 3 4 5 ออก 1 2 3 4 5เข้า1 2 3 4 5 6 7 8 9 ออก 1 2 3 4 5 6 7 8 9 (แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตา)
คำแนะนำ ควรฝึกวันละ2-5 นาที/วัน และควรปล่อยให้ท้องว่างก่อน 1 ชั่วโมง

7 กันยายน 2556

10 เคล็ดลับทานอาหาร เพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย

10 เคล็ดลับทานอาหาร เพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย



จะทำอย่างไรจึงจะได้พลังงานจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นคำแนะนำเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของเราในการบริโภคการรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีพลังเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ด้วย Liz Nowosad ค้นพบ 10 วิธีที่จะเพิ่มระดับพลังให้แก่ร่างกาย !

 1. ทำให้ร่างกายชุ่มชื้น

          การที่ร่างกายขาดน้ำเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อประกอบด้วยน้ำอยู่ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสียไปแค่สามเปอร์เซ็นต์ก็ทำให้ความแข็งแกร่งตกลงไปถึง 10 เปอร์เซ็นต์ และความเร็วลดลงถึง 9 เปอร์เซ็นต์ หากคุณไม่ดื่มน้ำให้เพียงพออยู่ทุกวี่ทุกวัน ร่างกายก็อาจตกอยู่ในสภาพขาดน้ำในระดับต่ำ (mild dehydration) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้มีผลต่อระดับพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ ให้ดื่มน้ำอย่างน้อยละวัน 1.5 ลิตร อาจเป็นได้ทั้งน้ำแร่ หรือน้ำประปาก็ได้


 2. รับประทานแต่เบา ๆ

          ไม่เพียงแต่สิ่งที่เรารับประทานเท่านั้นที่มีความสำคัญ แต่ปริมาณ ไม่ว่าจะน้อยเกินไปหรือมากเกินไป (ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพเช่นไรก็ตาม) ก็จะมีผลต่อการทำให้พลังงานเราตกต่ำได้เช่นกัน เราทุกคนล้วนต้องเคยประสบกับการหมดเรี่ยวหมดแรงหลังรับประทานอาหารเย็นมื้อหนัก ๆ 

          อาหารมื้อใหญ่เกินไปทำให้ร่างกายตกอยู่ในความเครียด และการย่อยอาหารปริมาณมากทำให้เรารู้สึกเหนื่อย...ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลยนอกจากต้องนอนพัก ในการรับประทานอาหารต้องใช้เวลา 20 นาที กว่าจะรู้ตัวว่าอิ่ม ดังนั้นให้รับประทานอาหารช้า ๆ หยุดเป็นระยะ ๆ วางช้อนส้อมลงระหว่างที่อาหารยังเต็มอยู่ในปาก และให้นั่งรับประทานเป็นที่เป็นทาง และไม่ควรมีอะไรมารบกวน

          วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุดในการป้องกันไม่ให้รับประทานมากเกินไปก็คือ ตักอาหารใส่จานในปริมาณที่น้อยลง หากคุณมีจานอาหารใบใหญ่ ให้เปลี่ยนมาเป็นใบที่เล็กลง และหากจะมีจานที่สองได้ก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 30 นาทีแต่ยังรู้สึกหิวอย่างจริง ๆ จัง ๆ อยู่




 3. เลือกคาร์โบไฮเดรตให้ถูกต้อง

          คาร์โบไฮเดรตเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้พลังงานมากที่สุด เพราะเหมือนกับเป็นเชื้อเพลิงเกรดพรีเมียมเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี ไม่ว่าจะเป็นข้าวขาว, ขนมปังขาว และพาสต้า แป้งขาว, ช็อกโกเลต และลูกอม จะปล่อยพลังงานออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะกากใยหรือไฟเบอร์ส่วนมากถูกนำออกไปเสียหมดในกระบวนการขัดสี ร่างกายเราจึงออกแรงน้อยมากในการย่อยและดูดซึมอาหารเหล่านี้ ทำให้ระดับอินซูลินพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เพื่อไปขจัดน้ำตาลปริมาณมากที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วทำให้ระดับพลังงานพุ่งขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างรวดเร็ว

          วิธีดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ก็คือ หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีที่เป็นสาเหตุให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง ให้เลือกธัญพืชขัดสีน้อยที่ค่อย ๆ ให้พลังอย่างช้า ๆ เช่น ข้าวต้มกล้อง, ข้าวโอ๊ตต้ม, ข้าวกล้อง, พาสต้าโฮลวีท และขนมปังโฮลเกรน อาหารเหล่านี้จะค่อย ๆ ปลดปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้การหลั่งอินซูลินคงที่ แล้วระดับน้ำตาลในเลือดและระดับพลังงานคงที่


 4. อย่าลดแคลอรี่ลง

          เด็บบี้ เมสัน โภชนากร กล่าวว่า "สตรีจำนวนมากที่มาพบดิฉันมาทั้งน้ำตาลและความเหนื่อยอ่อน ต้องตกอยู่ในวังวนที่ต้องทานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือพยายามหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรต จากนั้นก็ต้องกลับมาทานมากมายอย่างหยุดไม่ได้เพราะขาดอาหาร" การลดแคลอรี่ลงทำให้รู้สึกเฉื่อยชาและอ่อนเพลีย การลดแคลอรี่ลงอย่างกะทันหันจะบอกร่างกายให้สงวนพลังเอาไว้ ดังนั้น แทนที่จะเผาผลาญไขมัน ร่างกายกลับเก็บมันเอาไว้ และเริ่มสลายเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (ซึ่งเป็นของที่ดีของเรา) ไปเป็นพลังงานแทน 

          เมสัน กล่าวว่า "พอดิฉันให้คนไข้กลับมารับประทานอาหารปกติที่สมดุล ก็จะได้เห็นระดับพลังงานพุ่งกลับมาเป็นอย่างดี" นอกจากนี้ การจำกัดแคลอรี่ยังไปขัดขวางความพยายามของคุณในการออกกำลังกายหากคุณคิดจะทำก่อนหน้านั้น !

 5. รับประทานวิตามินเสริม

          วิตามินและเกลือแร่เป็นสิ่งจำเป็นต่อความกระชุ่มกระชวย การขาดวิตามินและเกลือแร่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรังหรือไม่ก็อ่อนเพลียอย่างอ่อน ๆ การขาดธาตุเหล็ก, สังกะสี หรือแมกนีเซียม มักจะพบได้บ่อยในสตรี ดังนั้น ให้รับประทานอาหารที่มีเกลือแร่เหล่านี้มาก เช่น ผักใบเขียว (ยิ่งสีเข้มเท่าไรก็ยิ่งดี), บรอกโคลี, เนื้อไม่ติดมัน และธัญพืชขัดสีน้อย ให้รับประทานอาหารที่สมดุล และเสริมด้วยวิตามินรวมชนิดคุณภาพดีทุกวัน 

          หากคุณออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ สำคัญมากที่จะต้องเพิ่มการรับประทานสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เพราะจะช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนและขจัดพิษจากของเสียที่เกิดจากกระบวนการสร้างพลังได้ดีขึ้น วิตามินที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ได้แก่ วิตามินเอ, ซี, และอี

ดื่มนม

 6. อย่าปล่อยให้ท้องว่างก่อนออกกำลังกาย
          การออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่างจะทำให้เหนื่อยเร็วกว่าปกติ ทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพน้อยลง เทิร์นบูล กล่าวว่า "หากคุณออกกำลังกายระหว่างที่ท้องว่าง ก็จะพบว่าคุณจะเหนื่อยในช่วง 15 นาทีแรก หรือไม่ก็รู้สึกซึมง่วงในช่วงครึ่งของการออกกำลังกาย พยายามหาอะไรเบา ๆ รับประทานก่อนออกกำลังกาย เช่น กล้วยใบเล็ก ๆ, โยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ, นมสักแก้ว หรือขนมปังสักชิ้น ก็จะช่วยให้การออกกำลังกายเป็นไปได้ด้วยดี"


 7. รับประทานอาหารว่าง

          พยายามอย่ารับประทานให้ห่างกันเกินกว่าสี่ชั่วโมง เพราะการรับประทานทีละน้อยแต่บ่อยมื้อขึ้นจะทำให้เมตาบอลึซึมทำงานอยู่ตลอดและมีระดับพลังงานคงที่ และสำคัญมากที่จะรับประทานหลังการออกกำลังกาย 

          แคลร์ เทิร์นบูล ที่ปรึกษาด้านโภชนาการและสุขภาพ กล่าวว่า "เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของเราจะฟื้นตัวและซ่อมแซมตัวเองได้ ให้รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีไขมันต่ำ หรืออาหารว่างที่มีโปรตีนอยู่ด้วยภายในเวลาสองชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย อาจเป็นนมสักหนึ่งแก้วพร้อมผลไม้สักชิ้น, โยเกิร์ต, แครกเกอร์พร้อมกับค็อตเตจชีส หรือทูน่ากระป๋องเล็ก ๆ ก็ได้" 

          การไม่รับประทานอาหารว่างหรืออาหารหลังการออกกำลังกายจะทำให้การฟื้นฟูร่างกายถูกชะลอออกไป และทำให้คุณรู้สึกงุ่มง่ามและเหนื่อยอ่อนในวันถัดไป


 8. อย่าใช้สิ่งกระตุ้น เพื่อเพิ่มระดับพลังงาน

          สิ่งที่ค้านกับความเชื่อทั่วไปก็คือ สารกระตุ้นทั้งหลาย ทั้งกาแฟ, แอลกอฮอล์, ยาสูบ และยาต้านอาหารซึมเศร้า ล้วนขโมยพลังไปจากเราทั้งสิ้น ความรู้สึกที่มีความกระชุ่มกระชวย ทำให้ระบบพุ่งอยู่ในระดับสูง แต่นั่นมันก็คือพลังงานของเราเองที่ถูกใช้ไป ระดับพลังงานแบบนี้อยู่ในระดับสูงกว่าธรรมชาติเกินกว่าที่ร่างกายของเราจะทดแทนมันได้ ทำให้ไม่นานเราก็จะรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรง หากต้องการการกระตุ้น การใช้โสมเอเชีย และโสมไซบีเรีย จะเป็นการกระตุ้นตามธรรมชาติที่ดีกว่า

อะโวคาโด

 9. ไขมันจำเป็น เพื่อนที่ดีของคุณ

          ในขณะที่ไขมันอาจจะไม่ใช่แหล่งพลังที่ดีที่สุดของร่างกาย แต่ไขมันจำเป็นก็มีความสำคัญมากมายในการเพิ่มระดับพลังงานงานมันจะช่วยขนส่งออกซิเจนและทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมีหน้าที่ขนส่งออกซิเจนมีสภาพที่แข็งแรง ไขมันจำเป็นยังสำคัญสำหรับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมักจะตกลงเมื่อเราออกกำลังกายมาก ๆ มันจะเป็นแหล่งพลังงานสำรองแล้วช่วยเพิ่มอัตราของเมตาบอลิซึม 

          อย่างไรก็ตาม ไขมันอิ่มตัวที่พบได้ในอาหารและอาหารว่างขยะเป็นสิ่งที่ไม่ควรรับประทานเลย สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือคนที่ต้องการเพิ่มระดับพลังงาน ไขมันโอเมก้า-3 มีประโยชน์สำหรับการออกกำลังกาย เพราะมันช่วยให้ออกกำลังได้ทนทานมากขึ้นและลดระดับอินซูลิน เป็นการเพิ่มเมตาบอลิซึมของไขมัน ให้รีบประทานปลาที่มีไขมันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และรับประทานเมล็ดพืช, อะโวคาโด, ถั่วเปลือกแข็ง และน้ำมันของมันทุกวัน


 10. ทานรสเปรี้ยวก่อนมื้อหลักช่วยระบบย่อยอาหาร 

          พวกเราจำนวนมากบ่นว่ารู้สึกเหนื่อยหลังจากรับประทานอาหารในปริมาณปกติ แต่ที่จริงแล้วนี่คือธรรมชาติที่คุณไม่ควรจะไปขัดขืน ระบบย่อยอาหารต้องการออกซิเจนปริมาณมากเพื่อการทำงานอย่างถูกต้อง หากคุณตื่นเช้าขึ้นมาและรีบเร่งทันทีหลังอาหาร หรือทานไปเดินไป ออกซิเจนก็จะถูกเปลี่ยนย้ายออกไปจากกระเพาะอาหารไปสู่กล้ามเนื้อต่าง ๆ 

          นั่นหมายความว่ากระเพาะอาหาร และระบบทางเดินอาหารทั้งหมดจะขาดออกซิเจนไปเล็กน้อย ทำให้การย่อยอาหารลดประสิทธิภาพลง ธรรมชาติป้องกันไม่ให้เราทำแบบนี้โดยการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกง่วงทันทีที่รับประทานอาหารเสร็จ ชาวเมดิเตอเรเนียนจะงีบหลับหลังรับประทานอาหารด้วยเหตุผลนี้ เพียงแค่การผ่อนคลายหลังอาหารสัก 10 ถึง 15 นาที ก็เป็นการเพียงพอแล้วในช่วงเวลานี้จะช่วยให้เรามีระดับพลังงานคงที่อยู่ได้อีกสามหรือสี่ชั่วโมง 

          มีคำแนะนำจากแองเจล่า ฮาลเดน นักธรรมชาติบำบัดและนักสมุนไพร คือ ให้รับประทานอาหารรสเปรี้ยวก่อนมื้อหลัก "มันจะช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์ย่อยอาหาร ทำให้เราได้รับสารอาหารจากอาหารที่ทานเข้าไปได้มากขึ้น นั่นก็คือเราได้พลังงานมากขึ้นด้วย แล้วยังทำให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น ให้ลองบีบน้ำมะนาวสดผสมลงในน้ำเปล่าหรือผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์กับน้ำเปล่า แล้วดื่มก่อนรับประทานอาหาร


เคล็ดลับสุขภาพ

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ (ต่อ)


  10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

   11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

   12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

   13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น




   14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

   15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

   16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

   17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ 

   18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ